Translate

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ผู้ที่เรียนรู้ช้า


 http://www.mono2u.com/fileupload/content/poyepoloye/poyepoloye_04.jpg

     ที่เมืองเมืองหนึ่ง มีเด็กหนุ่มผู้เรียนรู้ช้า เขาเป็นลูกชายของพ่อค้ารายหนึ่ง  แม้ว่าบิดาของเขา  จะส่งเขาไปเรียนวิชาความรู้สึกเท่าใด  แต่เขาก้ไม่อาจจะก้าวหน้าทันอื่นได้สักที  สร้างความกลุ้มใจให้บิดาของเขายิ่งนัก  จนในที่สุดพ่อของเขาจึงจ้างบัณฑิตมาสอนที่บ้านแทนที่จะส่งไปเรียนที่สำนัก  เนื่องจากเห็นว่าลูกของตนหัวช้ากว่าคนอื่น

     เด็กหนุ่มผู้ที่เรียนรู้ช้านีมีนามว่า "อาหลง"  อาหลงนั้นเมื่อเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง  ก็พาลหมดกำลังใจไม่อยากจะเรียนรู้ศึกษาหาวิชาอีกต่อไป  ดังนั้นเมื่อเรียนไม่ทันเพื่อนจึงไม่ยอมอ่านหนังสือ หรือว่าตำราเล่มใหนอีกเลย  และเมื่อบิดาของเขาบอกให้มาเรียนตัวต่อตัวกับอาจารย์ที่บ้าน  เขาก็ไม่ใคร่อยากจะใส่ใจเรียนเท่าใดนัก

     "ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าข้าเรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง  ท่านอย่าหาอาจารย์มาสอนข้าเลย" อาหลงกล่าวกับบิดา

     "เจ้าไม่ต้องพูดมาก ข้าให้เจ้าเรียน เจ้าก็จงตั้งใจเรียนเสียเถิด" บิดาของเขากล่าว

     เมื่อกล่าวถึงอาจารย์ของอาหลงนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ใช่บัณฑิตที่มีชื่อเสียงมากนัก แต่ในเรื่องปรัชญาและความเข้าใจในวิชาความรู้ต่างๆ นั้น เขาก็มีความรู้ความสามารถไม่แพ้ใครเลยทีเดียว  บิดาของอาหลงจึงวางใจให้มาสอนได้

http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201312/12/2088ef14.jpg

     การศึกษาของอาหลงในช่วงแรกๆ  นั้นไม่มีการกระเตื้อง  เนื่องจากอาหลงนั้นเบื่อหน่ายการเรียนที่เขาไม่คืบหน้าไปใหนสักที  แต่อย่างไรก็ตาม  อาจารย์ของเขาก็ไม่มีท่าทีเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย

     มีอยู่้วันหนึ่ง อาจารย์ของเขาชวนอาหลงไปเดินที่สระน้ำ  ซึ่งมีสัตว์น้ำรวมไปถึงเต่ามากมาย และเมื่อไปถึงสระน้ำ อาจารย์ของเขาก็หยิบเต่าขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วถามอาหลงขึ้นมาว่า
     "อาหลง  เจ้าว่าเจ้าเต่านี่อืดอาดหรือไม่"

     "ท่านอาจารย์ ในบรรดาสัตว์ในโลกนี้ หามีสัตว์ใดที่อืดอาดกว่าเต่าไม่" อาหลงตอบ

     "ข้าขอถามเจ้าต่อว่า  หากข้าวางเต่าน้อยเอาไว้ตรงนี้ " ว่าแล้วอาจารย์ก็ปล่อยเต่าเอาไปไว้ที่ไกลจากสระน้ำพอสมควร  "แล้วเจ้าก็หยุดยืนอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปใหน  เจ้าคิดว่าใครจะถึงบ่อน้ำก่อนกัน"

     เมื่อจบคำถาม อาหลงก็เห็นว่าเต่ากำลังค่อยๆ คลานไปถึงสระน้ำด้วยความเชื่องช้า แต่ตัวเขานั้นอยุดอยู่กับที่ไม่ไปใหน

     "ท่านอาจารย์ ท่านสั่งไม่ให้ข้าเดินข้าจะไปถึงสระน้ำได้อย่างไร แม้เจ้าเต่าจะเดินเชื่องช้า แต่มันก็ค่อยๆเดิน  เดี๋ยวมันก็ต้องถึง "อาหลงตอบ

     คำตอบของอาหลง ทำให้อาจารย์ของเขายิ้มออกมาแล้วพูดไปว่า

     "อันการเดินไปถึงสระน้ำนั้น ก็ไม่ต่างจากการศึกษาหาวิชาความรู้สักเท่าไร  เพราะไม่ว่าจะเดิน หรือว่า เรียนรู้ได้ช้า แต่ว่า หากค่อยๆเดิน ค่อยๆ ศึกษา  สักวันจะต้องถึงจุดหมายแน่ๆ  ต่างจากการนิ่งอยู่กับที่ไม่ไปใหน  ต่อให้อีกร้อยปีก็ไม่อาจถึงจุดหมายได้"

     เมื่อาหลงได้ฟังคำของอาจารย์ ก็คิดได้ จากนั้นก็ค่อยศึกษาหาความรู้จนเข้าใจตำราได้ในที่สุด
http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000001962301.JPEG


สุภาษิตสอนใจ

"การเติบโตช้า ไม่น่ากลัวเท่ากับการหยุดนิ่ง"


วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เศรษฐี กับ สหาย

http://www.planetworldwide.com/images_pack/hongcun/hongcun19.jpg

     มีเศรษฐีท่านหนึ่ง นิยมคบหากับผู้คนมากมาย แต่ข้อเสียของเขาก็คือ สหายที่เขาคึบหานั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสหายที่ชื่นชมและพูดจาเยินยอเขาทั้งสิ้น  ส่วนคนที่มีความเห็นที่แตกต่างไปนั้นเขามักจะวางเอาไว้เป็นสหายที่อยู่ไกล

     เศรษฐีผู้นีมีสหายอยู่คนหนึ่ง แซ่อู๋  ซึ่งรู้จักกันตอนที่ศึกษาเล่าเรียนที่สำนักปราชญ์ด้วยกัน  เมื่อสำเร็จการศึกษาได้เป็นบัณฑิตแล้ว  ต่างคนก็ต่างแยกย้ายจากกันไป  ไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

     ครั้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป  สหายแซ่หยางผู้นี้ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองเดียวกับท่านเศรษฐีเพื่อการค้า โดยก่อนหน้านี้ เขาก็สามารถมีกิจการรุ่งเรืองในเมืองที่เขาอยู่ เขาจึงอยากจะขยายกิจการไปที่เมืองอื่นๆ ส่วนร้านแรกนั้นก็ให้บุตชายของเขาเป็นผู้ดูแลกิจการต่อไป

     เมื่อมาถึงเมืองแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องไปเยี่ยมเยือน เพื่อนฝูง สหายหยางผู้นี้จึงได้เดินทางไปเยี่ยมเศรษฐีผู้นั้น หลังจากที่บ้านและกิจการร้านค้าของเขาค่อนข้างจะเรียบร้อยอยู่ตัวดีแล้ว

     "สหายอู๋  กี่ปีแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน"  ท่านเศรษฐีกลาวทักทายสหายอู๋ ด้วยความยินดี  หลังจากนั้นก็ได้พูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ มากมาย พร้อมกับเชื้อเชิญให้กินอาหารด้วยกัน


http://www.10000fah.com/image/mypic_article/k-13.jpg
     ระหว่างที่นั่งเล่นอยู่นั้น  ท่านเศรษฐีก็อวดบ้านของตน ซึ่งท่านเศรษฐีเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างบ้านหลังนี้ด้วยตัวของเขาเอง

     "บ้านของท่านก็ใหญ่โต สวยงามดี  แต่ข้าขอติเพียงอย่างเดียว ข้าว่าเตาผิงนี้น่าจะว่างที่อื่น เพราะว่า หากอยู่ตรงมุมนี้มันก็สามารถติดไฟได้ง่าย  อย่างแรแล้วก็ควรจะเปลี่ยนเสียจะดีกว่า ให้เกิดไฟใหม่บ้านขึ้นได้"

     เมื่อท่านเศรษฐีได้ยินคำกล่าของสหายอู๋ ก็เกิดอารมณฉุนเฉียวขึ้นมาทันที และคิดว่าสหายหยางนั้นสาปแช่งบ้าของตนเข้าให้แล้ว

     "สหายอู๋  ข้าคิดว่าท่านเป็นสหายของข้ามาโดยตลอด แต่เหตุใดท่านจึงต้องมาสาปแช่ง บ้านของข้าเยี่ยงนี้"

     เมื่อสหายอู๋ได้ยินดังน้้นก็ตกใจ  พยายาามอธิบายให้ท่านเศรษฐีฟังว่า เขาเตือนด้วยความหวังดี หาได้สาปแช่งอะไรไม่ แต่ท่านเศรษฐ๊ก็ไม่ฟัง  ไ่สหายหยางออกไปจากบ้านของเขาโดยทันที

     หลังจากนั้นไม่นาน บ้านของเศรษฐีก็เกิดไฟใหม้ขึ้นจริงๆ  ซึ่งเชื้่อเพลิงนั้นก็เกิดมาจากเตาผิงที่สหายอู๋ ได้เคยเตือนเขาเอาไว้ ว่าอาจทำให้เกิดไฟใหม่ขึ้นมาได้นั่นเอง  ซึ่งไฟใหม้ครั้งนั้น ก็มีสหายของเศรษฐี มาช่วยกันขนขาวของกันได้หลายคน ส่วนสหายอู๋ ขณะนั้นอยู่ที่อีกเมืองหนึ่ง จึงไม่ได้มาช่วยเหลือ

     เมื่อผ่านเรื่องราวที่เลวร้ายไปแล้ว ท่านเศรษฐี ก็ได้เชิญเหล่าผู้คนที่ช่วยขนของ และดับไฟเมื่อครั้งไฟไหม้ ครั้งนั้นมาเลี้ยงของคุณ   ซึ่งก็มีทั้งเศรษฐีและช่าวบ้านธรรมดา  แน่ละว่า ท่านเศรษฐี ก็ต้องกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ  แต่น่าแปลกว่า  แทนที่ท่านเศรษฐีจะสำนึกว่าสหายหยางเป็นผู้กล่าวเตือน ไม่เพียงเขาไม่เชิญมาเลี้ยงของคุณแต่ยังกล่าวตำหนิสหายอู๋ในงานเลีึ้ยงนั้นอีกด้วย

http://www.sisterme.net/_files/news/2012_03_17_192348_426u69di.jpg
 สุภาษิตสอนใจ

"คนโง่เหขามักไม่ฟังคำเตือนของผู้อื่น"

"คนเรามักคนความดีของคนที่แก้ปัญหา มากกว่าคนที่ชี้ให้เห็นปัญหา"

ข้าราชการ กับ ความอดทน

http://www.bloggang.com/data/aumnong/picture/1217934687.jpg

     "อาฟง"  บัณฑิตที่สามารถสอบได้เป็นข้าราชการ ซึ่งเขาจะ ต้องไปประจำตำแหน่งอีกเพียงไม่กี่วันที่จะมาถึงนี้  แน่นอน ว่า เขาย่อมจะตื่นเต้น ดีใจ เป็นธรรมดาอย่างมาก  เพราะว่า เขานั้นหวังมานานแล้วว่า  เขาจะต้องได้รับราชการงานเมือง รับใช้ประชาชนเสียที

     เมื่อเพื่อนของอาฟ่งทราบข่าว  ต่างก็มาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างถ้วนหน้า  หนึ่งในเพื่อนของเขาก็มีบัณฑิตคนหนื่งนามว่า "อาโหงว"  อาโหงวเป็นเพื่อนที่เรียน ร่วมอาจารย์เดียวกัน  ซึ่งเขาก็มาแสดงความยินดีเป็นคนสุดท้ายเลยทีเดียว

     อาฟ่งกับอาโหงวนั้น เดินมาสนทนากันที่สวนในบ้านของอาฟ่ง ซึ่งทั้งสองบัณฑิตนั้น ก็ได้พูดคุยถูกคอกันเป็นอย่างดี แล้วอาโหงวก็ได้กล่าวตักเตือน อาฟ่ง ออกมาว่า

     "เมื่อท่านเป็นข้าราชการแล้ว ท่านจะต้องรู้จักอดทนให้มากๆ  จะได้เป็นที่พึ่งของเหล่าประชาชนได้"

     "พี่โหงว ท่านอย่าได้วิตกกังวล  คำเตือนนี้ ข้าจะเก็บไว้และใส่ใจอยู่เสมอๆ"

http://i.ytimg.com/vi/ahJkPXGVcuY/hqdefault.jpg

     จากนั้นทั้งคู่ก็พูดถึงเรื่องราวทางการเมือง ระบบราชการ  ได้สักพัก อาโหงวนั้นก็กล่าวขึ้นว่า

     "อาฟ่ง เมทื่อท่านได้เป็นข้าราชการ รับใช้บ้านเมือง ประชาชนและราชสำนักแล้ว จะต้องอดทนให้มากๆ"

     "พี่โหงว  ข้าจำใส่ใจไว้เสมอ"  แม้ว่าจะรับปากแต่โดยดี  แต่ในใจของอาฟ่งนั้น ก็อดคิดตะหงิดๆ ไม่ได้ และเมื่อพูดคุยกับ อาโหงว ไปได้สักครู่ อาฟ่งก็ กล่าวเช่นนี้ เดิมๆ ซ้ำไป ซ้ำมา 5-6 รอบ  จนอาฟ่ง รู้สึกทนไม่ได้

     " พี่โหงว ข้าทราบแล้ว  ข้าจะต้องอดทน ต่อประชาชนให้มากๆ ไม่ต้องให้ท่านต้องมาพูดย้ำบอกข้าหลายๆ รอบหลอก"

     "อาฟ่ง  ข้าเพิ่งบอกเจ้าเองว่า ให้อดทนให้มากๆ  แต่ข้าย้ำท่านไม่กี่ครั้ง ท่านก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว  เมื่อท่านรับราชการ จะต้องมีเรื่องราว  ซ้ำซากให้แก้ไข  มีเหตุการณ์วุ่นวายมากมายให้ท่านต้องสะสาง  แล้วอย่างนี้ท่านจะสามารถรับราชการได้อย่างไร งานราชการนั้นนอกจากความสามารถ ความซื่อตรง  และความอดทนนั้น ก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง"

     เมื่อได้ฟังคำของอาโหงวแล้ว อาฟ่งก็รู้สึกว่าตัวเองนั้น ยังมีความอดทนไม่พอ  ดังนั้น เมื่อเขาได้รับเข้ารับราชการเรียบร้อยแล้ว จึงหัดพยายามให้ตัวเองเป็นผู้อดทนมาก  แต่ เขาก็พยายาม หาเวลา ปรึกษา และพูดคุยกับอาโหงว อยู่อย่างสม่ำเสมอ  เผื่อว่าหากเขาทำอะไรนอกลู่นอกทางแล้ว อาโหงว สหายแท้ผู้นี้ จะได้เตือนสติ ได้อย่างทันท่วงที


 http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2007/04/A5311008/A5311008-0.jpg
สุภาษิตสอนใจ

"รับใช้ประชาชน  ความอดทนเป็นเรื่องสำคัญ"