Translate

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ผู้ที่เรียนรู้ช้า


 http://www.mono2u.com/fileupload/content/poyepoloye/poyepoloye_04.jpg

     ที่เมืองเมืองหนึ่ง มีเด็กหนุ่มผู้เรียนรู้ช้า เขาเป็นลูกชายของพ่อค้ารายหนึ่ง  แม้ว่าบิดาของเขา  จะส่งเขาไปเรียนวิชาความรู้สึกเท่าใด  แต่เขาก้ไม่อาจจะก้าวหน้าทันอื่นได้สักที  สร้างความกลุ้มใจให้บิดาของเขายิ่งนัก  จนในที่สุดพ่อของเขาจึงจ้างบัณฑิตมาสอนที่บ้านแทนที่จะส่งไปเรียนที่สำนัก  เนื่องจากเห็นว่าลูกของตนหัวช้ากว่าคนอื่น

     เด็กหนุ่มผู้ที่เรียนรู้ช้านีมีนามว่า "อาหลง"  อาหลงนั้นเมื่อเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง  ก็พาลหมดกำลังใจไม่อยากจะเรียนรู้ศึกษาหาวิชาอีกต่อไป  ดังนั้นเมื่อเรียนไม่ทันเพื่อนจึงไม่ยอมอ่านหนังสือ หรือว่าตำราเล่มใหนอีกเลย  และเมื่อบิดาของเขาบอกให้มาเรียนตัวต่อตัวกับอาจารย์ที่บ้าน  เขาก็ไม่ใคร่อยากจะใส่ใจเรียนเท่าใดนัก

     "ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าข้าเรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง  ท่านอย่าหาอาจารย์มาสอนข้าเลย" อาหลงกล่าวกับบิดา

     "เจ้าไม่ต้องพูดมาก ข้าให้เจ้าเรียน เจ้าก็จงตั้งใจเรียนเสียเถิด" บิดาของเขากล่าว

     เมื่อกล่าวถึงอาจารย์ของอาหลงนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ใช่บัณฑิตที่มีชื่อเสียงมากนัก แต่ในเรื่องปรัชญาและความเข้าใจในวิชาความรู้ต่างๆ นั้น เขาก็มีความรู้ความสามารถไม่แพ้ใครเลยทีเดียว  บิดาของอาหลงจึงวางใจให้มาสอนได้

http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201312/12/2088ef14.jpg

     การศึกษาของอาหลงในช่วงแรกๆ  นั้นไม่มีการกระเตื้อง  เนื่องจากอาหลงนั้นเบื่อหน่ายการเรียนที่เขาไม่คืบหน้าไปใหนสักที  แต่อย่างไรก็ตาม  อาจารย์ของเขาก็ไม่มีท่าทีเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย

     มีอยู่้วันหนึ่ง อาจารย์ของเขาชวนอาหลงไปเดินที่สระน้ำ  ซึ่งมีสัตว์น้ำรวมไปถึงเต่ามากมาย และเมื่อไปถึงสระน้ำ อาจารย์ของเขาก็หยิบเต่าขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วถามอาหลงขึ้นมาว่า
     "อาหลง  เจ้าว่าเจ้าเต่านี่อืดอาดหรือไม่"

     "ท่านอาจารย์ ในบรรดาสัตว์ในโลกนี้ หามีสัตว์ใดที่อืดอาดกว่าเต่าไม่" อาหลงตอบ

     "ข้าขอถามเจ้าต่อว่า  หากข้าวางเต่าน้อยเอาไว้ตรงนี้ " ว่าแล้วอาจารย์ก็ปล่อยเต่าเอาไปไว้ที่ไกลจากสระน้ำพอสมควร  "แล้วเจ้าก็หยุดยืนอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปใหน  เจ้าคิดว่าใครจะถึงบ่อน้ำก่อนกัน"

     เมื่อจบคำถาม อาหลงก็เห็นว่าเต่ากำลังค่อยๆ คลานไปถึงสระน้ำด้วยความเชื่องช้า แต่ตัวเขานั้นอยุดอยู่กับที่ไม่ไปใหน

     "ท่านอาจารย์ ท่านสั่งไม่ให้ข้าเดินข้าจะไปถึงสระน้ำได้อย่างไร แม้เจ้าเต่าจะเดินเชื่องช้า แต่มันก็ค่อยๆเดิน  เดี๋ยวมันก็ต้องถึง "อาหลงตอบ

     คำตอบของอาหลง ทำให้อาจารย์ของเขายิ้มออกมาแล้วพูดไปว่า

     "อันการเดินไปถึงสระน้ำนั้น ก็ไม่ต่างจากการศึกษาหาวิชาความรู้สักเท่าไร  เพราะไม่ว่าจะเดิน หรือว่า เรียนรู้ได้ช้า แต่ว่า หากค่อยๆเดิน ค่อยๆ ศึกษา  สักวันจะต้องถึงจุดหมายแน่ๆ  ต่างจากการนิ่งอยู่กับที่ไม่ไปใหน  ต่อให้อีกร้อยปีก็ไม่อาจถึงจุดหมายได้"

     เมื่อาหลงได้ฟังคำของอาจารย์ ก็คิดได้ จากนั้นก็ค่อยศึกษาหาความรู้จนเข้าใจตำราได้ในที่สุด
http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000001962301.JPEG


สุภาษิตสอนใจ

"การเติบโตช้า ไม่น่ากลัวเท่ากับการหยุดนิ่ง"


วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เศรษฐี กับ สหาย

http://www.planetworldwide.com/images_pack/hongcun/hongcun19.jpg

     มีเศรษฐีท่านหนึ่ง นิยมคบหากับผู้คนมากมาย แต่ข้อเสียของเขาก็คือ สหายที่เขาคึบหานั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสหายที่ชื่นชมและพูดจาเยินยอเขาทั้งสิ้น  ส่วนคนที่มีความเห็นที่แตกต่างไปนั้นเขามักจะวางเอาไว้เป็นสหายที่อยู่ไกล

     เศรษฐีผู้นีมีสหายอยู่คนหนึ่ง แซ่อู๋  ซึ่งรู้จักกันตอนที่ศึกษาเล่าเรียนที่สำนักปราชญ์ด้วยกัน  เมื่อสำเร็จการศึกษาได้เป็นบัณฑิตแล้ว  ต่างคนก็ต่างแยกย้ายจากกันไป  ไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

     ครั้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป  สหายแซ่หยางผู้นี้ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองเดียวกับท่านเศรษฐีเพื่อการค้า โดยก่อนหน้านี้ เขาก็สามารถมีกิจการรุ่งเรืองในเมืองที่เขาอยู่ เขาจึงอยากจะขยายกิจการไปที่เมืองอื่นๆ ส่วนร้านแรกนั้นก็ให้บุตชายของเขาเป็นผู้ดูแลกิจการต่อไป

     เมื่อมาถึงเมืองแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องไปเยี่ยมเยือน เพื่อนฝูง สหายหยางผู้นี้จึงได้เดินทางไปเยี่ยมเศรษฐีผู้นั้น หลังจากที่บ้านและกิจการร้านค้าของเขาค่อนข้างจะเรียบร้อยอยู่ตัวดีแล้ว

     "สหายอู๋  กี่ปีแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน"  ท่านเศรษฐีกลาวทักทายสหายอู๋ ด้วยความยินดี  หลังจากนั้นก็ได้พูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ มากมาย พร้อมกับเชื้อเชิญให้กินอาหารด้วยกัน


http://www.10000fah.com/image/mypic_article/k-13.jpg
     ระหว่างที่นั่งเล่นอยู่นั้น  ท่านเศรษฐีก็อวดบ้านของตน ซึ่งท่านเศรษฐีเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างบ้านหลังนี้ด้วยตัวของเขาเอง

     "บ้านของท่านก็ใหญ่โต สวยงามดี  แต่ข้าขอติเพียงอย่างเดียว ข้าว่าเตาผิงนี้น่าจะว่างที่อื่น เพราะว่า หากอยู่ตรงมุมนี้มันก็สามารถติดไฟได้ง่าย  อย่างแรแล้วก็ควรจะเปลี่ยนเสียจะดีกว่า ให้เกิดไฟใหม่บ้านขึ้นได้"

     เมื่อท่านเศรษฐีได้ยินคำกล่าของสหายอู๋ ก็เกิดอารมณฉุนเฉียวขึ้นมาทันที และคิดว่าสหายหยางนั้นสาปแช่งบ้าของตนเข้าให้แล้ว

     "สหายอู๋  ข้าคิดว่าท่านเป็นสหายของข้ามาโดยตลอด แต่เหตุใดท่านจึงต้องมาสาปแช่ง บ้านของข้าเยี่ยงนี้"

     เมื่อสหายอู๋ได้ยินดังน้้นก็ตกใจ  พยายาามอธิบายให้ท่านเศรษฐีฟังว่า เขาเตือนด้วยความหวังดี หาได้สาปแช่งอะไรไม่ แต่ท่านเศรษฐ๊ก็ไม่ฟัง  ไ่สหายหยางออกไปจากบ้านของเขาโดยทันที

     หลังจากนั้นไม่นาน บ้านของเศรษฐีก็เกิดไฟใหม้ขึ้นจริงๆ  ซึ่งเชื้่อเพลิงนั้นก็เกิดมาจากเตาผิงที่สหายอู๋ ได้เคยเตือนเขาเอาไว้ ว่าอาจทำให้เกิดไฟใหม่ขึ้นมาได้นั่นเอง  ซึ่งไฟใหม้ครั้งนั้น ก็มีสหายของเศรษฐี มาช่วยกันขนขาวของกันได้หลายคน ส่วนสหายอู๋ ขณะนั้นอยู่ที่อีกเมืองหนึ่ง จึงไม่ได้มาช่วยเหลือ

     เมื่อผ่านเรื่องราวที่เลวร้ายไปแล้ว ท่านเศรษฐี ก็ได้เชิญเหล่าผู้คนที่ช่วยขนของ และดับไฟเมื่อครั้งไฟไหม้ ครั้งนั้นมาเลี้ยงของคุณ   ซึ่งก็มีทั้งเศรษฐีและช่าวบ้านธรรมดา  แน่ละว่า ท่านเศรษฐี ก็ต้องกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ  แต่น่าแปลกว่า  แทนที่ท่านเศรษฐีจะสำนึกว่าสหายหยางเป็นผู้กล่าวเตือน ไม่เพียงเขาไม่เชิญมาเลี้ยงของคุณแต่ยังกล่าวตำหนิสหายอู๋ในงานเลีึ้ยงนั้นอีกด้วย

http://www.sisterme.net/_files/news/2012_03_17_192348_426u69di.jpg
 สุภาษิตสอนใจ

"คนโง่เหขามักไม่ฟังคำเตือนของผู้อื่น"

"คนเรามักคนความดีของคนที่แก้ปัญหา มากกว่าคนที่ชี้ให้เห็นปัญหา"

ข้าราชการ กับ ความอดทน

http://www.bloggang.com/data/aumnong/picture/1217934687.jpg

     "อาฟง"  บัณฑิตที่สามารถสอบได้เป็นข้าราชการ ซึ่งเขาจะ ต้องไปประจำตำแหน่งอีกเพียงไม่กี่วันที่จะมาถึงนี้  แน่นอน ว่า เขาย่อมจะตื่นเต้น ดีใจ เป็นธรรมดาอย่างมาก  เพราะว่า เขานั้นหวังมานานแล้วว่า  เขาจะต้องได้รับราชการงานเมือง รับใช้ประชาชนเสียที

     เมื่อเพื่อนของอาฟ่งทราบข่าว  ต่างก็มาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างถ้วนหน้า  หนึ่งในเพื่อนของเขาก็มีบัณฑิตคนหนื่งนามว่า "อาโหงว"  อาโหงวเป็นเพื่อนที่เรียน ร่วมอาจารย์เดียวกัน  ซึ่งเขาก็มาแสดงความยินดีเป็นคนสุดท้ายเลยทีเดียว

     อาฟ่งกับอาโหงวนั้น เดินมาสนทนากันที่สวนในบ้านของอาฟ่ง ซึ่งทั้งสองบัณฑิตนั้น ก็ได้พูดคุยถูกคอกันเป็นอย่างดี แล้วอาโหงวก็ได้กล่าวตักเตือน อาฟ่ง ออกมาว่า

     "เมื่อท่านเป็นข้าราชการแล้ว ท่านจะต้องรู้จักอดทนให้มากๆ  จะได้เป็นที่พึ่งของเหล่าประชาชนได้"

     "พี่โหงว ท่านอย่าได้วิตกกังวล  คำเตือนนี้ ข้าจะเก็บไว้และใส่ใจอยู่เสมอๆ"

http://i.ytimg.com/vi/ahJkPXGVcuY/hqdefault.jpg

     จากนั้นทั้งคู่ก็พูดถึงเรื่องราวทางการเมือง ระบบราชการ  ได้สักพัก อาโหงวนั้นก็กล่าวขึ้นว่า

     "อาฟ่ง เมทื่อท่านได้เป็นข้าราชการ รับใช้บ้านเมือง ประชาชนและราชสำนักแล้ว จะต้องอดทนให้มากๆ"

     "พี่โหงว  ข้าจำใส่ใจไว้เสมอ"  แม้ว่าจะรับปากแต่โดยดี  แต่ในใจของอาฟ่งนั้น ก็อดคิดตะหงิดๆ ไม่ได้ และเมื่อพูดคุยกับ อาโหงว ไปได้สักครู่ อาฟ่งก็ กล่าวเช่นนี้ เดิมๆ ซ้ำไป ซ้ำมา 5-6 รอบ  จนอาฟ่ง รู้สึกทนไม่ได้

     " พี่โหงว ข้าทราบแล้ว  ข้าจะต้องอดทน ต่อประชาชนให้มากๆ ไม่ต้องให้ท่านต้องมาพูดย้ำบอกข้าหลายๆ รอบหลอก"

     "อาฟ่ง  ข้าเพิ่งบอกเจ้าเองว่า ให้อดทนให้มากๆ  แต่ข้าย้ำท่านไม่กี่ครั้ง ท่านก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว  เมื่อท่านรับราชการ จะต้องมีเรื่องราว  ซ้ำซากให้แก้ไข  มีเหตุการณ์วุ่นวายมากมายให้ท่านต้องสะสาง  แล้วอย่างนี้ท่านจะสามารถรับราชการได้อย่างไร งานราชการนั้นนอกจากความสามารถ ความซื่อตรง  และความอดทนนั้น ก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง"

     เมื่อได้ฟังคำของอาโหงวแล้ว อาฟ่งก็รู้สึกว่าตัวเองนั้น ยังมีความอดทนไม่พอ  ดังนั้น เมื่อเขาได้รับเข้ารับราชการเรียบร้อยแล้ว จึงหัดพยายามให้ตัวเองเป็นผู้อดทนมาก  แต่ เขาก็พยายาม หาเวลา ปรึกษา และพูดคุยกับอาโหงว อยู่อย่างสม่ำเสมอ  เผื่อว่าหากเขาทำอะไรนอกลู่นอกทางแล้ว อาโหงว สหายแท้ผู้นี้ จะได้เตือนสติ ได้อย่างทันท่วงที


 http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2007/04/A5311008/A5311008-0.jpg
สุภาษิตสอนใจ

"รับใช้ประชาชน  ความอดทนเป็นเรื่องสำคัญ"

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปิดขอบฟ้า ข้ามทะเล


 http://www.10000fah.com/image/mypic_article/k-17.jpg
     ยุคนสมัยชุนชิว องค์ชายจงเอ๋อ แห่งแคว้นจิ้น จำต้องหลบหนีลี้ภัย ไปยังดินแดนแคว้นฉี ต่อมาได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงฉีเจียงแห่งแค้นฉี และพำนักอยู่ในดินแดนแห่งนี้เรื่อยมา

     เมื่อคราวแรกเริ่ม มีขุนนางอยู่ 9 คน ได้ติดตามองค์ชายจงเอ๋อ อพยพเข้ามาในดินแดนแคว้นฉีแห่งนี้ด้วย  ขุนนางทั้งเก้าต่างเป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ  มีความจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง  และเขาทั้งหลายตั้งใจไว้มั่นว่า ตราบใดที่ยังมีชีวิต  สักวันหนึ่งพวกเขาพร้อมด้วยองค์ชายจงเอ๋อจักต้องหวนคืนสู่ดินแดนแคว้นจิ้นให้จงได้ เพื่อกอบกู้บ้านเมืองและฟื้นฟูแตคว้นจิ้นให้รุ่งเรืองสืบไป

     กาลเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งลำแสงที่พุ่งไปชัวพริบตา แม้กระนั้นก็ตามองค์ชายจงเอ๋อก็ยังไม่มีทีท่าที่คิดหวนคืนสู่ดินแดนแคว้นจิ้นแต่อย่างใด

     ขุนนางอาวุโสท่านหนึ่งในจำนวนขุนนางทั้งเก้ามีนามว่าจ้าวกุนได้กล่าวแก่ขุนนางด้วยกันว่า "พวกเราติดตามองค์ชายมาถึงแคว้นฉีแห่งนี้ ก็เพื่อขอความช่ยเหลือด้านกำลังพลจากแคว้นฉี แต่เวลานี้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาแล้วว่า ภายในแคว้นฉีมีแต่ความสับสนอลหม่าน ตามลำพังยังแทบคุ้มครองตนเองไม่ได้ ไหนเลยจะช่วยเหลือแก่พวกเราได้ ข้าคิดว่าพวกเราควรรีบออกจากแคว้นฉีไปปักหลักยังแคว้นอื่น แล้วค่อยคิดหาวิธีการต่อไปจักไม่ดีกว่าหรือ"

     ทุกคนต่างเห็นชอบด้วยกับคำเสนอแนะของขุนนางจ้าวกุน จึงร่วมกันขอเข้าเฝ้าเพื่อขอคำปรึกษาจากองค์ชายจงเอ๋อ แต่แล้วขุนนางทั้งเก้าก็ต้องผิดหวัง เพราะองค์ชายจงเอ๋อไม่เปิดโอกาสแก่พวกเขาเลย
 http://www.bloggang.com/data/peanut-nut/picture/1215937679.jpg


     หนึ่งในขุนนางทั้งเก้าร้องตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง "พวกเราละทิ้งครอบครัว   ติดตามองค์ชายมาด้วยความศรัทธา และเชื่อมั่นว่า สักวันหนึ่งองค์ชายจักต้องหวนคืนสู่แคว้นจิ้นอย่างแน่แท้  แต่เวลานี้องค์ชายกลับมัวลุ่มหลงใช้ชีวิตแสนสขตามลำพังกับฮูหยิน ทิ้งพวกเราไว้ข้างหลังไม่คิดที่จะฟื้นฟูแคว้นจิ้นเลยแม้แต่น้อย นี่ก็ผ่านไปแล้วร่วม 7 ปี ไม่เห็นว่าจะมีอะไรขึ้นมา ครั้นจะเข้าเฝ้า ดูสิพวกเราต้องมารอกันถึง 10 วัน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะให้เข้าเฝ้าเลยอย่างนี้จะไหวหรือ

     ขุนนางฮูเอี๋ยน รีบกล่าวเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา "พวกเราไม่ควรปรึกษากันในที่แห่งนี้" พลางขยิบตาให้ทุกคนตามเขาออกไปข้างนอก ประตูทางทิศตะวันออก ตรงไปยังสวนหม่อน "ชวนอิน"

     สวนหม่อนแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่มหึมา แผ่กิ่งก้านใบไม้ปกคลุมอย่างมิดชิดแทบมองไม่เห็นแสงตะวัน ขุนนางทั้งเก้าต่างนั่งล้อมวง ท่ามกลางบริเวณต้นไม้เหล่านี้เพื่อปรึกษาหารือกัน

     ขุนนางจ้าวกุนเอ่ยถามขึ้นว่า  "ท่านขุนนางฮูเอี๋ยน มีสิ่งใดที่จะให้คำแนะนำแก่พวกเราหรือ"

     ขุนนางฮูเอี๋ยนกล่าวเสนอแนะ  "ข้าคิดว่า องค์ชายจะยินยอมไปจากแคว้นฉีหรือไม่นั้นเป็นเรื่องขององค์ชาย สำคัญอยู่ที่ว่าพวกเราจะต้องไปให้ได้  พวกเราต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอหากสบโอกาสเมื่อใดต้องรีบทูล ชักชวนองค์ชาย เสด็จออกล่าสัตว์ เพื่อฉวยวโอกาสนำตัวองค์ชายออกจากแคว้นฉีทันที มิทราบว่าทุกท่านคิดเห็นประการใด"

     ทุกคนต่างพยักหน้า ให้การสนับสนุนตามความคิดเห็นของขุนนางฮูเอี๋ยน  หลังจากประชุมลับสิ้นสุดลง  ขุนนางทั้งเก้าต่างก็แยกย้ายกันกลับไปด้วยความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
http://thai.cri.cn/mmsource/images/2011/12/30/718298aec7e148baab38bb5c6abf95d1.jpg

     แต่ว่าในขณะที่พวกเขา กำลังตั้งหน้าตั้งตาปรึกษาหารือกันอยู่นั้น หารู้ไม่ว่ามีสาวเก็บหม่อนกว่า 10  คน แอบซ่อนตัวอยู่บนกิ่งไม่้ได้ยินได้ฟังเรื่องราวแผนการลับของพวกเขาไปจนหมดสิ้น

     สาวเก็บหม่อนเหล่านั้นแท้ที่จริง แล้วคือสาวใช้ ของฉีเจียงฮูหยินนั่นเอง  สาวใช้เหล่านั้นได้นำเรื่องราวแผนการลับของขุนนางทั้งเก้ามาทูลต่อฉีเจียงฮูหยินโดยละเอียด ฉีเยียงฮูหยินเมื่อได้เยินดังนี้แล้ว เกิดความคิดขึ้นมาว่า หากปล่อยไว้่นนี้เห็นท่าจะไม่ได้การ  จึงรีบจัดการนำตัวสาวใช้เหล่านั้นไปคุมขัไว้ เพื่อมิให้ความลับถูกแพร่งพรายออกไป จนกระทั่งกลางดึกก็ให้ทหารคนสนิทเข้าไปสังหารสาวใช้เหล่านั้นเสียสิ้น

     ในคืนเดียวกันนั้นเอง ฉีเจียงฮูหยินได้นำเรื่องราวแผนการลับของขุนนางทั้งเก้าและเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทูต่อองค์ชายจงเอ๋อ  พร้อมกับเกลี้ยกล่อมให้องค์ชายจงเอ๋อยินยอมเสตด็จไปจากแคว้นฉี พร้อมกับขุนนางทั้งเก้า

     องค์ชายจงเอ๋อ กล่าวตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย "เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที ก็เพื่อเสพสุขเท่านั้น  เหตุไฉน จะต้องซัดเซพเนจร ข้าจะอยู่ที่นี่จนตราบชั่วชีวิต  ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ไปจากที่นี่"

     ฉีเจียงฮูหยิน  กล่าวเตือนสติ "แคว้นจิ้นประสบภัยพิบัติ  องค์ชายไม่คิดที่จะกอบกู้คืนมาแล้วหรือ และไม่คิดแก้แค้นแทน...."

     "พอแล้ว พอแล้ว ข้าไม่ฟัง "  องค์ชายห้ามมิให้ฮูหยินกล่าวถึงอีกต่อไป พลางถอนใจแล้วกล่าวมาว่า "แฮ ข้าเกลียดชีวิตเร่ร่อน  ข้าพอใจอยูที่นี่ ข้าไม่อยากไปจากทีนี่"

http://www.bloggang.com/data/o/operahouse-tang/picture/1373281243.jpg

      รุ่งขึ้นวันต่อมา  ขุนนางทั้งเก้าได้ขอเข้าเฝ้าองค์ชายจงเอ๋อ เพื่อทูลชักชวนเสด็จออกล่าสัตว์ องค์ชายจงเอ๋อรู้เท่าทันเกิดความไม่พอใจ รีบสั่งสาวใช้ "ไปบอกขุนนางว่า ข้าไม่ต้องกมาให้เข้าเฝ้า"

     ฉีเจียงฮูหยิน เห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด ได้รับสั่งให้สาวใช้ไปเชิญขุนนางฮูเอี๋ยน มาพบ เมื่อมาถึง ฉีเจียงฮูเหยินเอ่ยถามขุนนางฮูเอี๋ยน ถึงเรื่องที่จะทูลชักชวนองค์ชายจงเอ๋อเสด็จออกล่าสัตว์

     ขุนนางฮูเอี๋ญน "ปกติองค์ชายทรงโปรดปรานเสด็จออกล่าสัตว์ ระยะหลังองค์ชายมิได้เสด็จออกล่าสัตว์มานานแล้ว จึงคิดที่จะมาทูลชักชวน มิได้มีจุดมุ่งหมายเป็นอื่น"

     ฉีเจียงฮูหยิน  หัวเราะแล้วเอ่ยถามต่อไป  "อ้าวว แล้วจุดหมายปลายทางของการล่าสัตว์ อยู่ที่แคว้นแห่งใดกันแน่เล่า"

     ขุนนางฮูเอี๋ยน ตกตะลึงพลางคิดในใจว่า ฮูหยินทราบเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ยังคงฝืนยิ้มออกมาแล้วทูลตอบ "ไม่ใช่แห่งใดเลย ล่าสัตว์ เหตุทำไมต้องไปไกลถึงเพียงนั้น"

     ฉีเจียงฮูหยิน  กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด  "ข้ารู้นะพวกเจ้าคิดอาศัยการออกล่าสัตว์ เป็นอุบายที่จะนำตัวองค์ชายไปจากแคว้นฉีใช่ไหม"

    อา....อา....ขุนนางฮูเอี๋ยน ยิ่งตกตะลึง จนไม่อาจทูลกับฮูหยินเช่นไรได้

     "เจ้าไม่ต้องวิตก"  ฉีเจียงฮูหยิน กล่าวด้วยน้ำเสียที่มีไมตรี  "พวกเจ้าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์  และจงรักภักดี  ข้ารู้ดีว่าชีวิตจิตใจของพวกเจ้าได้มอบไว้แก่องค์ชายจนหมดสิ้น ก็เพื่อหวังที่จะกอบกู้ฟื้นฟู แคว้นจิ้น เมื่อคืนนี้ข้าเพิ่งจะเตือนสติองค์ชายแต่ก็ไม่ได้ผล  องค์ชายคงยืนยันที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป"
http://www.uppices.com/images/99759383658013819638.jpg

     ขุนนางฮูเอี๋ยนได้ฟังดังนี้เกิดความปลื้มปิติ ยินดีเป็นยิ่งนัก "ฮูหยินเข้าใจถึงจิตใจของเข้าไอย่างถ่องแท้ทีเดียว"

    ฉีเจียงฮูหยิน  "เราต้องคิดหาวิธีที่ดีที่สุด เอาอย่างนี้แล้วกัน คืนนี้ข้าจะออกอุบายให้องค์ชายดื่มสุราอย่างเต็มที่เมื่อเห็นว่าเมาได้ที่แล้ว  พวกเจ้าต้องรีบจัดการนำตังองค์ชายขึ้นรถม้าไปทันที่ วิธีนี้เจ้าคิดว่าจะดีไหม"

     "ดีนะดีแน่  แต่...ฮูหยินเองละ..."

     "ไม่ต้องเป็นห่วงข้า  พวกเจ้าทิ้งลูกทิ้งเมียสุดที่รักมา เพื่องค์ชายโดยแท้  เหตุไฉนข้าจึงไม่อาจทนทุกข์ทรมานแม้แต่น้อยเพื่อสวามีของข้าเองเลยหรือ  และที่สำคัญที่สุด  องค์ชายเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งจิตใจของเชาวจิ้น จะให้ข้าเห็นแก่ตัวเช่นนี้อีกต่อไปได้อย่างไร"

     ในที่สุดทั้งสองต่างนัดหมายกันไว้เป็นมั่นเหมาะ และแยกย้ายกันไป แล้วก็เริ่มปฏิบัติการตามแผนต่อไป

     ในคืนนั้นเอง ฉีเจียงฮูหยินได้จัดเตรียมสุราอาหารไว้เต็มโต๊ะอย่างมากมายเป็นพิเศษ

     องค์ชายจงเอ๋อ เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ  "เหตุไฉนสุราอาหาร จึงมากมายเช่นนี้"

     ฉีเจียงฮูหยิน กล่าวอย่างมีเลศนัย "ก็องค์ชายจะต้องเดินทางไกล ข้าต้องจัดเลี้ยงส่งเป็นพิเศษ"

     "เหลวไหล ใครว่าข้าจะเดินทาง ข้าเกลียดการเร่ร่อน"

     "แล้วถ้าหากข้าจะเดินทาง องค์ชายจะไปกับข้าด้วยไหม"

     "ข้าไม่ไปจากที่นี่ และก็ไม่ไปจากเจ้า อย่างเด็ดขาด"

     "องค์ชายไม่หนีไปจากข้าจริงๆ  นะ องค์ชายมิได้กล่าวเท็จต่อข้า ใช่ไหม บอกข้าสิ" ฉีเจียงฮูหยินกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่มีความปีติยินดีเป็นยิ่งนัก

     "ใครจะโกหกเจ้า ชายชาตรีอย่างข้าพูดคำใหนคำนั้น"

     "โอ้สวรรค์  ข้ามีความสุขที่สุด"  ฉีเจียงฮูหยินแสร้างทำเป็นว่า มีความสุขอย่างเหลือล้น  และแล้วก็ทูลชักชวนองค์ชายจงเอ๋อร่วมดื่มสุราด้วยความเบิกบาญสำราญใจ

     มินานนักองค์ชายจงเอ๋อ ก็เริ่มมีอาการมึนเมา  แต่ฉีเจียงฮูหยินคงรินสุราเชิญชวนให้ยกจอกดื่มสุราต่อไปจอกแล้วจอกเล่า ในที่สุดองค์ชายจงเอ๋อก็หมดสติฟุบลงบนโต๊ะอาหาร

     ทั้นใดนั้น ขุนนางทั้งเก้า ต่างทะยอยกันเข้ามาและแบกองค์ชายจงเอ๋อ ขึ้นรถมาที่รอไว้

     สิ้นเสียงแส้ที่โบยลงหลังม้า ม้าได้วิ่งฮ่อลากรถนำตัวองค์ชายจงเอ๋อพรน้อมขุนนางทั้งเก้าออกจากแคว้นฉีไปอย่างเร่งรีบ โดยที่ไม่มีบุคคลภายนอกอื่นใดล่วงรู้ถึงเหตุการณฺ์ในครั้งนี้เลย แผนการทั้งหมดนี้ได้ดำเนิการสำเร็จลุล่วงไปได้ ด้วยดีโดยสะดวกทุกขั้นตอน
 http://pbs.twimg.com/media/B-MHpenCQAAH6zW.jpg
     ฉีเจียงฮูหยินได้แต่ยืนนิ่งมองดูรถม้าวิ่งห่างออกไป ห่างออกไป และแล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมานองหน้า  มันเป็นน้ำตาแห่งความปลืมระคนกับความขมชื่นที่หลั่งออกมาจากส่วนลักในจิตใจ  มันเป็นสิ่งนอกเหนือที่ฉีเจียงฮูหยินจะบังคับมันได้  แต่อย่างไรก็ตามภายใตก้ารควบคุมแห่งจิตใจของฉีเจียงฮูหยินเต็มไปด้วยความเข้าใจอันดียิ่งว่า "เป้าหมายแห่งชีวิตขององค์ชายจงเอ๋อ มีความสำคัญยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งใดๆ ทั้งปวง"



    
     


วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บัณฑิตกับหมวก100ใบ


บัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งจะเดินทางไปสมัครทำราชการในเมืองหลวง
เมื่อไปร่ำลาอาจารย์ของเขา อาจารย์จึงได้อบรมสั่งสอนว่า
การไปรับราชการทำงานอยู่ในราชสำนักนั้น
จะต้องรักษาเกียรติและรักษาหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด
เมื่อเข้าไปเป็นคนใหม่ ต้องรู้จักเคารพผู้อาวุโสด้วย
...
บัณฑิตหนุ่ม ได้ฟัง ก็ตอบอย่างยิ้มแย้มว่า
ข้าทราบดีขอรับท่านอาจารย์
.
ดังนั้นข้าจึงได้เตรียมหมวกไปด้วย 100 ใบ
หากข้าพบใครก็จะให้หมวกเขา 1 ใบ
รับรองว่าทุกอย่างจะราบรื่นแน่นอนขอรับ
อาจารย์ได้ยินเช่นนั้น จึงกล่าวว่า
เจ้าเป็นถึงบัณฑิตสมควรแล้วหรือที่จะยกย่องชมเชยทุกคนที่พบปะ
บัณฑิตหนุ่ม ยิ้มเล็กน้อย และรีบชี้แจงว่า
คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนแต่ชอบการยกยอปอปั้น
ใครจะเหมือนอย่างท่านอาจารย์ล่ะขอรับ
ท่านอาจารย์ไม่เคยหวั่นไหว จากการยกย่องชมเชยใดๆทั้งสิ้น
อาจารย์พยักหน้า พลางกล่าวว่า
ถูกต้องแล้ว เจ้าเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว
บัณฑิตหนุ่มค้อมศีรษะคารวะกราบอาจารย์แล้วยิ้มแย้มเอ่ยขึ้นว่า
บัดนี้หมวกของข้าเหลือแค่ 99 ใบแล้ว ขอรับท่านอาจารย์
…..

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

นักปราชญ์กับศิษฐ์



     ในรัชสมัย พระเจ้าฮ่องเลี้ยนเต้ ราชวงศ์ถัง  มีนักปราชย์ชื่อดังคนหนึ่งในแคว้น เขามีลูกศิษฐ์ลูกหามากมาย  หนึ่งในศิษฐ์ของเขาก็มี " อาเต๋า " ลูกชายเจ้าของโรงเตี๊ยมชื่อดังรวมอยู่ด้วย

      อาเต๋า นั้นถือว่า เป็นศิษฐ์เอกของนักปราชญ์ท่านนี้ นอกจากนี้ อาเต๋าเอง ก็ยังมีความเคารพนับถือ และศรัทธาในตัวอาจารย์ของเขาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเรื่องอะไร เขาก็จะเห็นดีเห็นงามไปกับอาจารย์ของเขาทุกอย่าง

     จนกระทั่งวันหนึ่ง  อาจารย์ของเขา ได้เกิดการท่องกลอนผิดขึ้น แทนที่ อาเต๋า จะรีบท้วงติง กับเห็นดีเห็นงามไปกับอาจารย์ด้วย ว่า กลอนที่อาจารย์ท่องผิดนั้น มีความไพเราะเพราะพริ้งกว่ากลอนเดิม  นอกจากนี้ อาเต๋า ก็ยังดำเนินชีวิต ตามแบบ อาจารย์ มาชนิดถอดด้ามทุกกระเบียดนิ้ว



     เมื่อท่านอาจารย์ นักปราชญ์ ได้เห็นการกระทำ ของ อาเต๋า เช่นนี้ จึงได้คิดใคร่ครวญ ว่า ไม่สมควรจะปล่อยให้ อาเต๋า เป็นเช่นนี้  เพราะแม้ว่า การเคารพครูบาอาจารย์ นั้นจะดี  แต่ การเคารพนับถือแบบนี้ นั้นไม่เป็นผลดี ต่อตัว อาเต๋า เองอย่างแน่แน้

    วันหนึ่ง ท่านอาจารย์ จึงได้พาอาเต๋า ไปที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมีฐานะค่อนข้างจนและทรุดโทรม  จากนั้น ก็สั่งให้อาเต๋า เข้าไปในบ้านหลังนั้น แรกเริ่มนั้น อาเต๋า คิดว่า อาจารย์ของเขาจะให้เอาเงินมามอบให้กับหญิงสาวคนหนึ่งที่ใส่เสื้อผ้าซ่อมซ่อ ที่อยู่กับลูกน้อยแต่เพียงลำพังภายในบ้าน  แต่เรื่องกลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามที่เขาคิด



     "แม่นาง เจ้าจงไปเอาเงินมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไวๆ เอาเงินของเจ้ามาให้ข้าเยอะๆ ข้าอยากได้เงินของเจ้า"  อาจารย์ของอาเต๋ากล่าว กับหญิงสาว

    "ท่านนักปราชญ์ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่มีเงิน"  หญิงสาวคนนั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ปนหวาดกลัว

    "ชิชะ เฮอะ เจ้าโกหกข้า อาเต๋า เจ้าจงไปค้นบ้านนาง แล้วเอาเงินของนางมาให้ข้า"

อาเต๋าเมื่อได้ยินอาจารย์สั่งเช่นนั้นก็ตกใจ  จึงไม่กล้าทำตามที่อาจารย์สั่ง ได้แต่ยืนนิ่งๆ ไม่ไหวติง

    "อาเต๋า เจ้ากล้าขัดคำสั่งอาจารย์ อย่างนั้นรึ"

    "แต่ แต่  " อาเต๋า พยายามจะคัดค้าน

    "ไม่มีแต่อาเต๋า ข้าสั่งเจ้าจงรีบทำตามข้า เดี๋ยวนี้" อาจารย์ของเขาตวาด

   เมื่อได้ยินดังนั้น อาเต๋าจึงเดินไปค้นหา ทรัพย์สินเงินทอง ในบ้านของหญิงสาว ซึ่งก็เงินไม่มากเท่าไหร่ เมื่อเขาได้เงินมาตามที่อาจารย์สั่ง เขาก็ยื่นเงินนั้นให้กับอาจารย์ อาจารย์รับมอบถุงเงินอย่างภาคภูมิใจ

   "ครั้งหน้า เจ้าจงเตรียมเงินให้มากกว่านี้ ไม่เช่นนั้น ข้าจะมาพังบ้านของเจ้าให้ราบคาบ"

อาจารย์ กล่าวกับหญิงสาวก่อนเดินลับไป



เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ  จนหลายๆครั้งเข้า วันหนึ่ง อาเต๋าจึงสงสัยถามอาจารย์ของเขาว่า

    "ท่านอาจารย์ ทำเช่นนี้ไม่ถูก ทำเช่นนี้ไม่ใช่วิสัยของคนดี"  อาเต๋ากล่าวตัดพ้อกับอาจารย์

    "ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้านะ ข้าว่าถูกก็ต้องถูกสิ" อาจารย์ของเขากล่าว

    "ไม่ นี่คือการเบียดเบียนคนจน" อาเต๋าไม่ลดละ

    เมื่อได้ยินคำพูดของอาเต๋า อาจารย์ของเขาก็ยิ้มออก ในที่สุดเจ้าก็รู้แล้วสินะ ว่าอาจารย์ของเจ้านั้น ไม่ได้ทำอะไรถูกหมดเสียทุกอย่าง  ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นอาจารย์ของเจ้า เป็นนักปราชญ์ ที่คนทั้งแผ่นดิน นับหน้าถือตา แต่บางครั้ง ก็มีเรื่องที่ทำผิดพลาดเช่นเดียวกัน ชีวิตเป็นของเจ้า  เจ้าควรจะดำเนินชีวิตเป็นแบบชีวิตของเจ้า ไม่ใชตามแบบข้า เพราะชีวิตใคร ก็มีชะตาชีวิตของมัน


สุภาษิต สอนใจ

  "จงให้ความสนิทสนมกับนักปราชญ์  แต่ไม่ใช่ทำตามเขา ทุกอย่างโดยจนหมดสิ้น"
   

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เดินเร็ว เดินช้า

    


       แม้ว่า บางครั้ง อาจไม่ได้อยู่ในช่วงหน้าฝน แต่ก็มีบางครั้ง บางคราว ที่ธรรมชาติแปรปรวน ก่อให้เกิดพายุ  และอาจมีฝนตก มาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย  ซึ่ง โดยปกติ คนส่วนใหญ่ เมื่อเจอลม เจอ ฝน ก็จะต้องรีบวิ่งเข้าที่กำบังหลบฝน  แม้ว่า จะไม่ได้่ช่วยอะไรมากมาย เพราะว่าฝนหลงฤดูนั้น ส่วนมากจะเป็นห่าใหญ่ ที่แม้ว่าเรา จะรีบสักปานใด ก็จะยังคงต้องเปียกเหมือนเดิม

      ในขณะที่ หมู่ชนคนกลุ่มใหญ่ ต่างวิ่งแตกตื่นหลบฝนหลบพายุอยุ่นั้น กลังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า "อาเต้า"   อาเต้า เป็นพ่อค้าขาย หมั่นโถว อยู่ที่ในตลาด  ซึ่งในวันนั้น เขาปิดร้าน เพื่อมาทำธุระในต่างเมือง  และเมื่อถึงขากลับ ฝนกลับตกมาพอดี



     ตอนที่ลมฝน พัดคะนอง ฝนตกอยุ่นั้น อาเต้า กลับเดินฝ่าสายฝน ทอดน่องไปเรื่อยๆ เหมือนกับว่า สภาวะการณ์ปกติ ไม่มีลมฟ้าฝนคะนอง และเหมือนกับว่า ไม่มีสายฝน ลงเทรดชุ่มฉ่ำกับตัวเขาเลย  แต่ที่สำคัญ ที่หลายคนมองอย่างแปลกใจคือ ในตัวเขา ไม่มีเครื่องป้องกันฝนใดๆเลย  ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ หรือว่าร่มกันฝนก็ตาม

     ในขณะนั้นเอง อาเวิ่น  ซึ่งเป็นเพื่อนสหายของเขานั้น ก็กำลังวิ่งฝ่าสายฝนมาพอดี  ก็เห็นสหายของตนเอง เดินอย่างไม่อนาทรร้อนใจใดๆเลย จึงกล่าว เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า

     "อาเต้า ทำไมเจ้าไม่รีบเดินเสียเล่า ฝนตกหนัก ฟ้าลมคะนองปานนี้"

      เมื่ออาเต้า ได้ฟังคำกล่าวของสหายที่ห่วงใยเขา เขาจึงกล่าวตอบไปว่า

     "ฝนตกหนักเช่นนี้ ไม่ว่าจะวิ่งหรือเดินช้าๆ ก็ย่อมจะเปียกเหมือนกันหมด แล้วข้าจะวิ่งไปใยเล่า หากว่าข้าวิ่งไปแล้วนั้น เกิดลื่นล้มขึ้นมา แข้งขาเคล็ดไม่แย่ไปกันใหญ่รึ  ก็เหมือนกับตอนที่เรากำลังมีปัญหาหนักนั่นแหละ  การรีบร้อน ก็จะทำให้เราทำอะไรผิดพลาดได้ง่าย แต่หากว่าเราค่อยๆคิด ค่อยๆ ทำ แม้ว่าจะเปียกหน่อย แต่ก็ช่วยทำให้เราไม่เจ็บ หรือเสียหายหนักได้ ไงเล่าสหาย"




สุภาษิตสอนใจ  

   "เมื่อเปียกแล้วรีบร้อนก็ไร้ประโยชน์   เมื่อเกิดปัญหา แล้วร้อนรนก็ไร้ค่า"